เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย! ตำนานรักสุดซึ้งที่อ่านแล้วต้องร้องไห้ตาม

เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย! ตำนานรักสุดซึ้งที่อ่านแล้วต้องร้องไห้ตาม

ความรักของเราแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน บางคนความรักโปรยด้วยกลีบกุหลาบและอยู่ด้วยกันจนช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต บางคนมีอุปรรคขวางกั้นกว่าจะได้รักกัน ซ้ำร้ายบางคนรักกันแทบตายแต่ก็ไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ เหมือนกับตำนานรักทั้ง 5 คู่ที่ Onewiwa นำมาฝากทุกๆคนค่ะ มาดูกันว่าความรักของพวกเขาเหล่านี้เป็นเช่นไร แทบไม่อยากเชื่อเลยว่าความรักแบบนี้มีอยู่จริงด้วยหรอ

ในสมัยราชวงศ์ปโตเลมี ของ มาซีโดเนี่ยน ขึ้นปกครองไอยคุปต์ นาม ” คลีโอพัตรา ” ชื่อนี้จึงเป็นที่นิยมตั้งชื่อกันอย่างแพร่หลาย เป็นชื่อที่ไพเราะจนเจ้าหญิงทั้งหลายตั้งชื่อว่าคลีโอพัตรากันอย่างถ้วนหน้า ซึ่งมีราชินีคลีโอพัตราแห่งไอยคุปต์จึงมีถึง 7 พระองค์ แต่ในบทความนี้เราจะขอเล่าเรื่อง ราชินีคลีโอพัตราองค์สุดท้ายค่ะ

ตำนานความรักของคลีโอพัตราและมาค แอนโทนี่กล่าวว่า พระนางคลีโอพัตรานั้นมีรูปร่างที่สวยสดงดงาม ไร้ที่ติ จนดึงดูดสายตาของผู้พบเห็นในนาทีแรก แต่ไม่ใช่เพียงความสวยเท่านั้น พระนางยังมีสติปัญญาที่ฉลาดหลักแหลม รู้เท่าทันคน พระนางทรงเชี่ยวชาญในด้านคณิตศาสตร์ รอบรู้เรื่องรัฐศาสตร์ และหลักการปกครอง อันเป็นคุณสมบัติของผู้นำที่ดี จึงทำให้แอนโทนี่ ขุนพลของโรมันตก ผู้ส่งสารเชิญพระนางไปพบ เพื่อหารือขอความช่วยเหลือ ตกหลุมรักอย่างไม่ยากเย็น ทั้งคู่ก็ได้ครองรักกัน แต่ฟ้าก็ไม่เป็นใจเมื่อ แอนโทนี่จำเป็นจะต้องไปแต่งงานกับน้องสาวของ อ๊อคตาเวี่ยนผู้ปกครองกรุงโรมในสมัยนั้น ซึ่งเวลาต่อมาพระนางคลีโอพัตราได้ให้กำเนิดลูกแฝดของแอนโทนี่ เมื่อเขาทราบข่าวก็ได้ย้ายมาอยู่ด้วยกัน และมีวาวว่าเขาได้เลือกอยู่ฝั่งอียิปต์ ทำให้อ๊อคตาเวี่ยนโมโหหนัก สงครามจึงเกิดขึ้นเมื่อออคตาเวี่ยนบุกไปทำสงครามทางเรือกับอียิปต์

เมื่อโรมันบุกมา แอนโทนี่จึงได้ยกทัพออกไป โดยมีเรือของพระนางคลีโอพัตราคอยสังเกตการณ์อยู่ด้วย เมื่อพ่ายแพ้ มาร์ค แอนโทนี่ จึงฆ่าตัวตายในอ้อมแขนของพระนางคลีโอพัตรา ส่วนตัวพระนางเองก็ดื่มยาพิษฆ่าตัวตายตามคู่รักไป โรมันก็ยึดครองอียิปต์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แต่อีกบันทึกหนึ่งก็กล่าวว่าแอนโทนี่ได้บอกพระนางให้หนีแล้วเขาจะตามไป แต่ก็มีข่าวลือว่าพระนางสิ้นแล้ว เขาจึงฆ่าตัวตายและทันทีที่พระนางรู้ว่าผู้เป็นทีี่รักของนางตายแล้ว พระนางจึงฆ่าตัวตายตามโดยใช้งูพิษอียิปต์กัดที่หน้าอกข้างซ้าย

พีรามุสและทิสเบ

เรื่องราวความรักแสนเศร้า เรื่องจริงถูกนำไปดัดแปลงเป็นวรรณกรรมสุดโด่งดังเรื่องโรมิโอและจูเลียต เรื่องราวของพวกเขาเกิดขึ้นเมื่อปี 331 ก่อนคริสตกาล ในบาบิโลม นครแห่งราชินีเซมิรามิส บ้านของทั้งสองอยู่ติดกัน ทั้งคู่เป็นเพื่อนบ้านกันและพวกเขาเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก พวกเขาเล่นด้วยกันทุกวัน จนเติบโตเข้าสู่วัยหนุ่มสาว ทั้งคู่เริ่มมองกันเปลี่ยนไป เลื่อนสถานะจากเพื่อนไปเป็นคนรัก เหมือนเรื่องราวจะจบลงด้วยดีใช่ไหมค่ะ แต่เปล่าเลยเพราะพ่อแม่ของทั้งคู่กีดกั้น ไม่ยอมรับในตัวอีกฝ่าย ถึงขนาดที่ว่าทั้งคู่จะแต่งงานกัน ครอบครัวของทั้งสองก็ยังตามไปขัดขวางอีก แต่ทั้งคู่ก็ยังไม่ลดละความพยายาม

อยู่มาวันหนึ่งทั้งคู่ได้พบรอยร้าวของกำแพงที่ขวางกั้นทั้งสองอยู่ ทั้งสองได้กระซิบกระซาบกัน คอยพูดคุยถามไถ่ จีบกันผ่านรอยแยกนี้ตลอด จนทั้งคู่ตัดสินใจจะหนีออกไปใช้ชีวิตด้วยกัน ทั้งสองนัดเจอกันที่ใต้ต้นมัล        เบอรี่ ทิสเบมาถึงที่นัดหมายก่อน นางเห็นแม่สิงโตเดินมาและปากเต็มไปด้วยเลือด ทำให้นางตกใจและวิ่งหนีไปจนผ้าคลุมหน้าของนางหล่น ต่อมาพีรามุสก็มาถึงที่หมาย เห็นเจ้าสิงโตที่ปากเต็มไปด้วยเลือดและได้คาบผ้าคลุมหน้าของเบทิสเอาไว้ จึงนึกว่าสิงโตได้กินนางไปแล้ว พีรามุสเสียใจอย่างหนักเอาดาบมาแทงตนเองจนทะลุหัวใจสิ้นใจตาย เบทิสได้กลับมาที่ใต้ต้นมัลเบอรี่อีกครั้ง พบศพของคนรักของเขา นางก็ร่ำไห้เสียใจและนำดาบแทงตนเองตายตามไป ถึงแม้ความรักของทั้งสองคนนั้นไม่สมหวัง แต่สุดท้ายร่างของทั้งคู่ก็ได้ฝังอยู่ข้างกัน

เจ้าฟ้าชายเอ็ดเวิร์ดและวอลลิส ซิมป์สัน

ความรักเอาชนะทุกอย่าง แม้แต่บัลลังก็ยังหยุดไม่ได้ เรื่องราวความรักนี้เป็นของเจ้าฟ้าชายเอ็ดเวิร์ด ที่8 และนางวอลลิส ซิมป์สัน  พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 ทรงขึ้นครองราชย์ในช่วงต้นปี 1936 นับตั้งแต่พระเจ้ายอร์ชที่ 5 สวรรคต โดยครองสถานะโสด แต่มีนางวอลลิส ซิมป์สัน แม่หม่ายลูกติด ชาวสหรัฐอเมริกาอยู่ข้างกายตลอด ซึ่งทำให้ประชากรไม่พอใจในการกระทำของพระองค์มาก ที่คิดจะนำแม่หม่ายชาวต่างชาติ ที่เคยมีสามีถึง 2 คน มาเป็นราชินีของพวกเขา อีกทั้งนางก็ยังไม่ได้หย่าขาดกับสามีคนที่2ด้วยซ้ำ แต่พระองค์ก็ทรงมิได้สนใจแต่อย่างใด ตั้งใจแน่วแน่ว่าจัดพิธีอภิเษกสมรสทันทีที่นางหย่าขาดกับสามีคนที่สอง

ในวันที่16 พ.ย. พระองค์ทรงเรียกนายกรัฐมนตรี สแตนลีย์ บอลด์วินเข้าเฝ้า และแจ้งพระประสงค์ที่จะ     อภิเสกสมรสกับนางซิมป์สันให้ทราบ ซึ่งเหตุการณ์ในวันนั้นทำให้พระองค์ตระหนักถึงเรื่องนี้ เพราะนายกรัฐมนตรี ทรงได้กล่าวทูลพระองค์ว่าประชากรและนักการเมืองหลายๆฝ่ายไม่เห็นด้วยอย่างอย่างยิ่งในการจัดพิธีอภิเษกสมรสครั้งนี้ อีกทั้งคณะรัฐบาลกราบทูลว่าจะลาออกทั้งคณะ ส่วนตัวนางวอลลิสเอง ก็ขอเป็นฝ่ายถอยออกมาเอง เมื่ออังกฤษไม่ยอมรับในตัวนางและนางเองก็กลับบ้านเกิดนางไม่ได้ นางจึงได้ย้ายไปอยู่ที่ฝรั่งเศสเพื่อลงหลักปักฐานที่นั้น

“ข้าพเจ้ามองไม่เห็นความเป็นไปได้ที่จะรับภารกิจอันหนักอึ้งในการทำหน้าที่ประมุขของชาติ หากปราศจากสตรีผู้เป็นที่รักยืนหยัดเคียงข้าง” ในวันที่ 11 ธ.ค. 1936 พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 ทรงประกาศสละราชบัลลังก์ เพื่อที่พระองค์เองจะได้ไปอยู่กับคนที่พระองค์รักที่ประเทศฝรั่งเศส และในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1937 พระองค์และนางวอลลิสได้อภิเษกสมรสกันโดยไร้เงาของพระประยูรญาติไปร่วมพิธีแม้แต่พระองค์เดียว

บอนนี่และไคลด์

เรื่องราวของโจรคู่รักสุดโด่งดังที่สหรัฐอเมริกา ทั้งคู่พบกันเมื่อปี 1930 ปาร์เกอร์อายุ 19 แบร์โรว์อายุ 21 เป็นรักแรกพบที่บ้านเพื่อนของเขาทั้งคู่ แต่ไคล์ก็โดนจับเข้าคุกในอีกไม่กี่เดือนถัดมา จากคดีปล้นชิงทรัพย์ที่ไปก่อเอาไว้เมื่อ 2 ปีก่อน ด้วยความรัก บอนนี้จึงทำทีเข้าไปเยี่ยมและแอบส่งปืนให้เพื่อให้เขาใช้แหกคุกออกมา แบร์โรว์พยายามแหกคุก แต่ก็ถูกจับตัวได้อย่างรวดเร็ว แต่ในปี 1932 เขาก็ได้รับการปล่อยตัว เนื่องจากไคล์ใช้ขวานฟันเข้าที่หัวแม่โป้งเท้าของตัวเองทำให้มีสถานะเป็นคนพิการ โดยเขาสัญญาว่าจะไม่ขอกลับมาเข้าคุกอีกเป็นอันขาด แต่เคราะห์ร้ายเศรธฐกิจในช่วงนั้นตกต่ำมาก ไม่มีงานสุจริตสำหรับเด็กหนุ่มผู้ไร้การศึกษาอย่างไคลด์ ทั้งคู่จึงตัดสินใจตระเวนทัวร์ปล้นไปทั่วประเทศ ปล้นธนาคาร ร้านค้า และปั๊มน้ำมัน โดยใช้พาหนะในการปล้นเป็นรถยนต์ที่ทั้งคู่โจรกรรมมา โดยพวกเขากินนอนอยู่ในรถมากกว่าอยู่บ้านหรือโรงแรม พวกเขาจึงมักจะขโมยรถอยู่บ่อยๆเพื่อไม่ให้ตำรวจตามกลิ่นจนเจอ

เรื่องราวของทั้งคู่เป็นที่โด่งดังสุดๆในช่วงนั้น เรียกได้ว่าวัยรุ่นของอเมริกานั้นคลั่งไคล้สุดๆ แต่ทั้งคู่ยังคงต้องหนีหัวซุกหัวซุน เพราะตำรวจออกหมายจับตายทั้งคู่นั่นเอง จนกระทั้งวันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ.2477 ทั้งคู่ได้เสียชีวิตลง โดยการระดมยิงด้วยตำรวจเท็กซัส ประจำรัฐหลุยเซียน่าจำนวน 5 นาย ตามประวัตินั้น ศพของทั้งคู่มีจำนวนกระสุนไม่ต่ำกว่า 50 นัด พวกเขาเคยร้องขอเอาไว้ก่อนตายว่าขอฝังศพเอาไว้ข้างกัน แต่ไม่เป็นอย่างนั้นเพราะญาติได้นำไปฝังไว้ตามถิ่นฐานของแต่ละคน

 ทัชมาฮาล

นี่คือความรักของพระเจ้าชาห์ จาฮาน สมเด็จพระจักรพรรดิองค์ที่ 5 ในราชวงศ์โมกุล มีพระชนมายุ 14 พรรษา และพระนางมุมตัช มาฮาล ที่เป็นจุดกำเนิดของทัช มาฮาลนั่นเองค่ะ ทัชมาฮาลเป็นที่ฝังพระศพของพระเจ้าชาห์ จาฮานและพระนางมุมตัช มาฮาล โดยตำนานกล่าวว่า เจ้าชายขุร์รัม (พระเจ้าชาห์ จาฮาน) ได้พบกับ อรชุมันท์ พานุ เพคุม(พระนางมุมตัช มาฮาล) จึงตกหลุมรักและได้สู่ขอเธอจากบิดาของเธอที่เป็นนายกรัฐมนตรี

งานอภิเษกสมรสของพระองค์ถูกจัดขึ้นภายหลังจากนั้น 5 ปี โดยมีพระนางอรชุมันท์ ซึ่งได้สมัญญานามว่า มุมตัซ มาฮาล ซึ่งแปลว่า อัญมณีแห่งราชวังเป็นพระมเหสีคู่พระทัย พระนางทรงเป็นทั้งคู่คิด ที่ปรึกษา และมีส่วนในการช่วยเหลือในด้านการปกครองบ้านเมือง การศึกการสงครามอีกทั้งยังทรงเป็นที่รักใคร่ของพสกนิกรทั่วหล้า ต่อมาพระนางพระนางมุมตัช มาฮาล ทรงสิ้นพระชนม์ในขณะที่ให้กำเนิดทายาทคนที่ 14 สร้างความโศกเศร้าเสียใจให้กับพระองค์อย่างมาก พระองค์โศกเศร้า ทุกข์ระทมอย่างแสนสาหัสอยู่นานถึง 2 ปี จึงได้เกณฑ์ไร่พลมาสร้างประติมา  กรรมสุดอลังกาลและสวยงามเพื่อเป็นอนุสรณ์และเป็นฝังพระศพของพระนางมุมตัช มาฮาล ตามคำของนางก่อนที่จะสิ้นใจ

ถึงแม้จะเป็นประติมากรรมสุดยิ่งใหญ่ที่เป็น 1 ใน 7 สิ่งอัจรรย์ของโลกก็ตาม แต่การสร้างทัชมาฮาลนั้น สิ้นเปลืองมาก ประชาชนถูกกรูดรีดภาษีอย่างหนัก ทำให้เกิดความยากจนในหมู่ประชากรทั่วไป เมื่อบุตรชายคนโตของพระองค์เห็นทรงเห็นว่าพระราชบิดาใช้จ่ายพระราชทรัพย์ไปมากมายมหาศาล กลัวว่าจะใช้จ่ายเงินไปจนหมดก่อนที่ตนจะขึ้นครองราช จึงได้จับพระองค์ไปขังไว้ที่ป้อมอัครา พระเจ้าชาห์ จาฮาน จึงทำได้เพียงเขย่งพระบาทมองทัชมาฮาลผ่านลูกกรงทุกวันเป็นเวลานานถึง 8 ปี และสิ้นพระชนม์ลง แม้กระทั่งตอนจะสิ้นพนะชมน์พระองค์ได้กำเศษกระจกเอาไว้เพื่อส่องให้เห็นทัชมาฮาลก่อนที่จะสิ้นใจ จากนั้นจึงได้นำพระศพของพระบิดานำมาฝังข้างแม่ และสั่งประหารช่างผู้ออกแบบทั้งหมด เพื่อไม่ให้ไปสร้างสถานที่ที่สวยงามกว่าทัชมาฮาลอีก

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *